วันอังคารที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2557

เปรียบเทียบสภาวะ สมถภาวนา วิปัสสนาภาวนา

เปรียบเทียบสภาวะ
สมถภาวนา
วิปัสสนาภาวนา
สภาวะ (อาการของจิต)
เป็นไปด้วอำนาจของสมาธิ (จิตตั้งอยู่ในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง  หรือมีอารมณ์เป็นอันเดียวกัน
เป็นไปด้วยอำนาจของปัญญา (รู้รูปนามขันธ์ ๕ รู้กฏอันเป็นไปตามธรรมดาของไตรลักษณ์)
ลักษณะ
มีจิตตั้งมั่นไม่หวั่นไหวหรือความฟุ่งซ่าน
มีปัญญารู้แจ้งความจริงในสภาวธรรมทั้งปวง
กิจ
สามารถข่มนิวรณ์ ๕  ได้
สามารถจำจัดความไม่รู้ (อวิชชา) ที่ปิดบังความจริงของสภาวธรรมทั้งปวงได้
สมาธิ
ใช้สมาธิระดับอุปาจารสมาธิและอัปปนาสมาธิ
ใช้สมาธิระดับขณิกสมาธิ
องค์ธรรม
ใช้เอกัคคตาเจตสิก
ใช้ปัญญาเจตสิก
ประเภทของธรรม
จัดอยู่ในประเภทโลกิยธรรมเมื่อไม่ได้เจริญบ่อยๆ  หรือไม่ได้ทำจนเป็นวสี  ย่อมเสื่อมได้
จัดอยู่ในประเภทโลกุตรธรรมเมื่อได้เจริญถึงวิปัสสนาขั้นสูงคือ มัคคจิตย่อมไม่เสื่อม
จิต
จัดเป็นมหัคคตจิต (จิตฌานลาภีบุคคลผู้ประเสริญเข้าถึงได้
จัดเป็นโลกุตตรจิต (จิตที่พ้นจากกามภูมิและอรูปภูมิ)  มีนิพพานเป็นอารมณ์
นิมิต
นิมิต ๓  คือบริกรรมนิมิต  อุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิต
ไม่มีนิมิตอย่ายได้อย่างหนึ่ง
ทวาร
ใช้เพียร ๔ ทวาร คือ  จักขุทวาร  โสตทวาร  กายทวาร  และมโนทาวร
ใช้ได้ทั้ง ๖ ทวารคือ  ปัญจทวารและมโนทวาร
ปหาน
ละกิเลสด้วยอำนาจของการข่มด้วยองค์ฌานเป็นการสงบชั่วขณะ  ประดุจหินทับหญ้า  เรียกว่า  วิกขัมภนปหาน
ละกิเลสชนิดที่ถาวรด้วยอำนาจของโลกุรตรมรรคหรืออมัคคจิต เรียกว่าสุมจเฉทปหาน ละกิเลสเด็ดขาดไม่ต้องขวนขวายเพื่อดับอีก เรียกว่า ปฏิปัสสัทธิปหาร  กิเลสดับเสร็จแล้ว คือ นิพพาน เรียกว่า นิสสรณปหาน
อารมณ์
ใช้อารมณ์บัญญัติ หรือสิ่งภายนอกร่างกายอย่างใดอย่างหนึ่งในอารมณ์ ๔๐ อย่าง
ใช้อารมณ์ปรมัตถ์ คือ รูป-นาม หรือสติปัฏฐาน ๔ อันเป็นที่ตั้งที่เกิดของวิปัสสนา เรียกว่า วิปัสสนาภูมิ ๖  มีขันธ์ ๕ เป็นต้น
การเพ่ง(ฌาน)
อารัมมณูปนิชิฌาน  การเพ่งด้วยจิตยึดมั่นในอารมณ์ได้แก่  ฌาน  สมาบัติ
ลักขณูปนิชฌาน  การเพ่งพินิจลักษณะอารมณ์ให้เห็นไตรลักษณ์
ผลปรากฏ (ปัจจุปัฏฐาน)
ไม่หวั่นไหวไปตามอารมณ์ต่างๆ
มีความรู้  และความเห็นตรงความเป็นจริง
เหตุใกล้ (ปทัฏฐาน)
มีความสุขความพอใจในความสงบเมื่อใจเป็นสุขแล้วย่อมไม่ดิ้นรนกวัดแกว่งไปในกามคุณอารมณ์
มีสติและสัมปชัญญะ (ปัญญา) รู้รูปนามในปัจจุบัน
จริต
มีจริต  ๖ อย่างคือ ราคจริต  โทสจริต โมหจริต ศรัทธาจริต  พุทธิจริต  และวิตกจริต การทำสมถต้องอารมณ์ให้เหมาะกับจริตนิสัยของผู้นั้น
มีจริต ๒ ประเภท  คือ ตัณหากับทิฏฐิ ในจริตทั้ง ๒ นี้ แยกย่อยออกไปอีกอย่างละ ๒ คือ ตัณหาจริตที่มีปัญญาอ่อน กับมีปัญญากล้าและทิฏฐิจริตที่มีปัญญาอ่อนกับทิฏฐิจริต  มีปัญญากล้า
บุคคล
เป็นบุคคลที่ปฏิสนธิด้วยไตยเหตุ  ไม่เคยทำอนันตริยกรรม ๕  ไม่ประกอบด้ยวนิยตมิจฉาทิฏฐิ
เป็นบุคคลที่ปฏิสนธิด้วยไตยเหตุ  ไม่เคยทำอนันตริยกรรม ๕  ไม่ประกอบด้ยวนิยตมิจฉาทิฏฐิ
วิธีปฏิบัติ
ใช้สติกำหนดหรือจับอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งใน ๔๐ อย่าง โดยให้จิตนิ่งอยู่ในอารมณ์นั้นๆ เพียงอารมณ์เดียวจนความสงบของจิตจะเกิดขึ้น
ใช้สติกำหนดตามทวารทั้ง ๖ ที่ปรากฏในขณะปัจจุบันกำหนดรู้พิจารณาอยู่เฉพาะการเกิดขึ้นและการดับไปของรูป-นาม
ผลและอานิสงส์ที่ได้รับ






อ้างอิง
พระครูปลัดสัมภิพัฒนธรรมาจารย์
-เข้าฌานสมาบัติได้
-ได้อภิญญา
-ทำให้จิตใจเกิตความสงบเยือกเย็นเป็นสุขจึงเป็นเหตุให้ผู้ปฏิบัติติดอยู่กับความสงบความสุข  ไม่สามารถใช้ปัญญาในการกำหนดรู้ทุกข์ และทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่า ความสงบที่เข้าถึงนั้น คือ พระนิพพาน
-ได้รูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔
-ไปเกิดในสุคติรหมโลก  แต่ยังต้องกลับมาเกิดใหม่อีกใน ๓๑ ภูมิ
-เข้าผลสามบัติได้
-ได้อภิญญา ๖
-ได้วิชชา ๘
-ปัญญารู้ความจริงตามสภาวธรรมเรียกว่า วิปัสสนาญาณ
-ได้มรรคผล นิพพาน คือไม่ต้องกลับมาเกิดอีกใน ๓๑ ภูมิ หรือในสังสารวัฏฏทุกข์ คือ ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย อันเป็นจุดประสงค์สูงสุดอย่างแท้จริงในพระพุทธศาสนา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น